ในช่วงเวลาที่หนังฮอลลีวูดฟอร์มใหญ่ยักษ์ ได้โหมเข้าโรงในประเทศไทยอย่างไม่มีหยุด ทำให้หนังไทยของเรา ต้องหาที่ยืนดีๆ ไม่ให้ลืมครืนเจ๊งสนิทไปเสียก่อน ซึ่งในวันนี้ นิตยสารเพื่อคนรักหนัง Bioscope ฉบับเดือนสิงหาคม ปกใหม่ ดาวิกา น้ำต้ำแตกนี้! จะขอพาคุณผู้ชมไปย้อนมองสถานการณ์หนังไทย ในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา ว่าจะรอดอยู่ได้แค่ไหน หรือร่วงระเนระนาดเพราะอะไร เราจะมาหาสาเหตุกัน
สถานการณ์ของหนังไทยครึ่งปีแรก เรียกได้ง่ายๆว่า “ล้มครืน” หรือหากเทียบกับปีที่แล้วที่อยู่ในสภาวะป่วยเรื้อรัง ปีนี้ก็จองศาลาเผากันได้เลย แม้จะมีหนังร้อยล้านให้ชื่นใจกัน 2 เรื่องแต่ภาพรวมกลับพบศพตายเกลื่อนถนนแบบที่ไม่เคยรู้สึกมาก่อน! ผู้สร้างเก่าเหือดหายผู้สร้างใหม่มาฆ่าตัวตายชัดๆ จากผลของการชุมนุมทางการเมืองช่วงครึ่งปีหลัง 2556 ผู้สร้างหนังหลายรายชะลอการสร้าง และมันก็ส่งผลให้ช่วงครึ่งแรกของปีนี้มีหนังไทย (ที่คลอดจากสตูดิโอคุ้นเคย) น้อยจนน่าตกใจ
แต่ที่ทดแทนกัน คือ ผู้สร้างรายย่อยและรายใหม่ ต่างรีบขนหนังในสต็อคมาเทกระจาดฉายไม่ยั้ง ฟังดูเหมือนน่าจะสวยงามที่มีผู้สร้างอิสระสร้างความคึกคัก แต่ในความเป็นจริงหนังเหล่านี้ล้มเหลวทั้งคำวิจารณ์และรายได้ จนบางรายเกือบโดดตึกฆ่าตัวตายอย่างที่เป็นข่าวเหตุผลหนึ่งเพราะผู้สร้างรายย่อยมักเป็นนักธุรกิจที่มองเห็นช่องว่างในอุตสาหกรรมหนังจึงหวังตะครุบเหยื่อหนังที่ทำออกฉายก็เป็นหนังทุนสร้างระดับกลางถึงน้อยและวนเวียนไม่กี่แนวตามรอยความสำเร็จของหนังเมื่อ 5-10 ปีที่แล้วจึงไม่น่าแปลกใจนักสำหรับรายได้ที่เกิดขึ้น
อีกหนึ่งสาเหตุใหญ่ ก็คงไม่พ้นทำนองที่ว่า “ตั๋วแพงค่าแรงถูกงั้นจูงลูกซื้อซีดีผีดูที่บ้านดีกว่า” ด้วยเพราะเศรษฐกิจที่พังจากสถานการณ์ในสังคม หลายคนจึงรัดเข็มขัด และเริ่มเห็นว่าโรงหนังราคาแพงเป็นสิ่งไม่จำเป็น ภาพครอบครัวจูงลูกหลานมาดูหนังเริ่มมีให้เห็นยากขึ้น แถมมีตัวแปรอย่างทีวียุคนี้ที่ภาพเสียงคมชัด ดังนั้นจะดูหนังทีก็ต้องเลือกให้คุ้มค่าที่สุดหนังไทย ถ้าไม่ใช่ค่ายที่คุ้นเคยไม่ใช่หนังที่ดูน่าสนใจก็ไม่ต้องคาดหวังว่าจะซื้อตั๋ว (ดังที่จิระมะลิกุลเคยให้สัมภาษณ์ใจความคร่าวๆว่าหนังไทยโกงคนดูมาตลอดเพราะถ้าเทียบกับหนังฮอลลีวูดกระทั่งทุนสร้างเรายังสู้ไม่ได้เลยแต่เรากลับขายตั๋วในราคาเดียวกับเขา)
หรือบางทีนี่อาจเป็นสัญญาณบอกว่า หนังไทยบ้านๆอาจถึงกาลล่มสลาย เพราะนอกจากกลุ่มครอบครัวจะหายไปกลุ่มชาวบ้านที่เคยมองโรงหนังเป็นสถานที่พักผ่อนหย่อนใจก็เลือกจะเปิดแอร์ดูแผ่นผีอยู่กับบ้านแทนและเมื่อคนที่ควักเงินจ่ายค่าตั๋วเป็นวัย-รุ่นจนถึงวัยทำงานตอนต้นเหมือนเดิมหนังที่คาดหวังว่าจะทำเงินจึงเจ๊งไม่เป็นท่า โดยยิ่งเมื่อเทียบกับรายได้หนังครึ่งปี 2556 แล้วจะยิ่งเห็นได้ชัดอย่างน่าผิดหวัง
Top 5 หนังทำรายได้ครึ่งปีแรก2556 (นับเฉพาะรายได้ในกรุงเทพฯ)
พี่มาก…พระโขนง (28 มีนาคม, GTH) 598.9 ล้านบาท
คู่กรรม (4 เมษายน, M3๙) 47.52 ล้านบาท
จันดาราปัจฉิมบท (7 กุมภาพันธ์, สหมงคล) 34.18 ล้านบาท
ทองสุก 13 (31 มกราคม, WAVE) 33.87 ล้านบาท
Last Summer ฤดูร้อนนั้น…ฉันตาย (27มิถุนายน, Talent 1) 29.38ล้านบาท
Top 5 หนังทำรายได้ครึ่งปีแรก2557 (นับเฉพาะรายได้ในกรุงเทพฯ)
ตำนานสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ๕ ยุทธหัตถี (29 พฤษภาคม, สหมงคล) 201.27 ล้านบาท
คิดถึงวิทยา (20 มีนาคม, GTH) 101 ล้านบาท
Timeline จดหมายความทรงจำ (13กุมภาพันธ์, สหมงคล) 50.93ล้านบาท
ม.6/5 ปากหมาท้าแม่นาค (10 เมษายน, พระนครฟิลม์) 30.29 ล้านบาท
ตีสามคืนสาม 3D (16 มกราคม, ไฟว์สตาร์) 20.62 ล้านบาท
เพียงแค่ครึ่งปีแรกที่ผ่านมา ยังสาหัสร่อแร่ขนาดนี้ แล้วครึ่งปีหลังที่เหลือ จะมีหนังไทยเรื่องไหน เป็นเจ้าชายขี่ม้าขาวมากอบกู้สถานการณ์นี้ได้หรือไม่ หรือจะต้องฟกช้ำให้น้ำเกลือไปจนจบปี ติดตามคำตอบของทิศทางหนังไทยครึ่งปีหลังนี้ ได้ทางนิตยสาร Bioscope ฉบับเดือนสิงหาคม หน้าปก ใหม่ ดาวิกา น้ำตาแตก ได้ที่คอลัมน์ ไทยทัศนา: โปรดตรวจสอบทรัพย์สินก่อนลุกออกจากโรงภาพยนตร์ โดย ป๊อปคอร์นำเข้าจากรัสเซีย ได้ทุกแผงหนังสือแล้ววันนี้
———————————–
The post Bioscope ชวนมองสถานการณ์หนังไทยครึ่งปีแรก ที่ถึงกับเสียศูนย์ระเนระนาด?!! appeared first on Mthai Movie.