ย้อนไปในยุค ไท เอ็นเตอร์เทนเมนต์ แล้ว วิสูตร พูลวรลักษณ์ ได้ชื่อว่าเป็นผู้สร้างภาพยนตร์ที่แจ้งเกิดให้กับคนทำหนังหน้าใหม่มาแล้วมากมาย และผลงานเหล่านั้นมักจะกลายเป็นปรากฏการณ์ใหม่ๆ ของวงการหนังไทย ณ ขณะนั้น ทั้ง ธนิตย์ จิตนุกูล และ อดิเรก วัฏลีลา กับสองหนังวัยรุ่นระดับปรากฏการณ์ ‘ซึมน้อยหน่อย กะล่อนมากหน่อย’ (2528) และ ‘ปลื้ม’ (2529), สมจริง ศรีสุภาพ อดีตกองบรรณาธิการนิตยสารที่กลายมาเป็นผู้กำกับที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดคนหนึ่งในยุค 90’s หรือแม้แต่ นนทรีย์ นิมิบุตร กับสองหนังที่พลิกวงการไทยซึ่งซบเซาในขณะนั้นให้กลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งอย่าง ‘2499 อันธพาลครองเมือง’ (2540) และ ‘นางนาก’ (2542)
และกับผลงานเรื่องแรกของค่าย T Moment อย่าง ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ ที่เล่าเรื่องของกลุ่มเพื่อนตำรวจไซส์เอ็กซ์เอลที่ต้องผ่านทั้งภารกิจลดน้ำหนักเพื่อคงสถานภาพของตำรวจให้ได้ภายในสามเดือน นอกเหนือจากความกล้าในการนำนักแสดงร่างท้วมมารับบทนำแล้ว การเปิดโอกาสให้กับสองคนทำหนังใหม่เอี่ยมอย่าง ชานนท์ ยิ่งยง (โอ๊ต) และ ภูวนิตย์ ผลดี (ตี๋) ที่มาร่วมกันกำกับภาพยนตร์เป็นเรื่องแรกด้วย ก็เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งว่าหนังเรื่องนี้ จะสร้างปรากฏการณ์ให้เกิดขึ้นกับวงการหนังไทยอีกครั้งหรือไม่
ตัวอย่าง ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’
– ก่อนหน้าจะมากำกับหนังเรื่องนี้เคยมีผลงานอะไรมาก่อนบ้างครับ
ชานนท์ : เราเป็นผู้กำกับภาพอิสระ ก็มีถ่ายโฆษณา ไวรัลมาก่อน แล้วก็เป็นผู้กำกับภาพที่บริษัท Gear Head (บริษัทให้บริการเช่าอุปกรณ์กล้องถ่ายทำภาพยนตร์) ซึ่งก็จะทำให้เราได้ร่วมงานกับโปรดักชั่นของหลายๆ ทีม แต่ถ้าเป็นผลงานหนังจริงๆ คงต้องย้อนไปสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ตอนนั้นเราเคยทำ ‘โดดก็โดดวะ’ ทำในนาม GodFilm Production คือเราไม่ได้กำกับไม่ได้เขียนบท แต่เป็นผู้กำกับภาพที่มากำหนดสไตล์ของเรื่องอีกที แล้วก็ทำพวกตัดต่อ ทำสีเอง
ภูวนิตย์ : ของผมเคยเป็นทีมเขียนบทอยู่ที่ Tranformation ก่อนจะมาที่ T Moment ตอนที่เขารับสมัครทีมเขียนบท ส่วนงานอื่นๆ ก็มีเขียนบทหนังสั้นไวรัลบ้าง แล้วก็เป็นหนึ่งในทีมเขียนบทซีรีส์ Love Rhythms ตอน ‘อยากจะร้องดังดัง’ เขียนอยู่ได้ประมาณห้าตอนก็ออกจากโปรเจ็กต์มา เพื่อมาทำโอเวอร์ไซส์ฯ
หนังสั้น ‘โดดก็โดดวะ’
– ภูวนิตย์ตอนนั้นรู้ไหมว่าทำไมทาง T Moment ถึงเลือกเราเข้ามาเป็นทีมเขียนบท
ภูวนิตย์ : พี่โด้ (อมรเทพ สุขมานนท์ : โปรดิวเซอร์ของ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’) เคยเล่าให้ฟังว่าตัวเราเองก็เป็นคนที่มีประสบการณ์ และน่าจะเอาตัวรอดจากสถานการณ์ยากๆ ได้ อีกอย่างคือ พี่โด้เขาอยากได้ตัวผู้เล่นที่หลากหลายในทีมเขียนบทด้วย ซึ่งทีมทั้งหมดก็จะถูกจับแยกไปพัฒนาแต่ละโปรเจ็กต์ไป ซึ่งมีทั้งโปรเจ็กต์ที่มีผู้กำกับและไม่มีผู้กำกับ
– สำหรับโปรเจ็กต์ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ มีที่มายังไง
ภูวนิตย์ : โปรเจ็กต์นี้เริ่มต้นจาก คุณวิสูตร (พูลวรลักษณ์) ไปเห็นข่าวโครงการตำรวจไทยไร้พุง คล้ายๆ กับที่คุณวิสูตรไปเห็นข่าวของทีมวอลเลย์บอล ‘สตรีเหล็ก’ จนกลายเป็นโปรเจ็กต์หนังขึ้นมา แต่โปรเจ็กต์นี้มันเป็นไอเดียที่ค้างมานานมากแต่ก็ยังไม่มีใครมาสานต่อให้จบสักที ซึ่งก็เป็นเรื่องที่เรามารู้ตอนหลัง เพราะตอนที่เราได้ยินไอเดียนี้ครั้งแรกก็รู้สึกว่า เฮ้ย..เราสนใจโปรเจ็กต์นี้นะ เรามีไอเดียกับมัน น่าจะทำมันได้ อาจจะเพราะส่วนเราเองก็เคยอ้วนๆ ผอมๆ มาก่อน มันเป็นปัญหาที่เราเข้าใจมันอยู่แล้ว
– สุดท้ายกลายมาเป็นผู้กำกับร่วมกันได้ยังไง
ชานนท์ : ตอนแรกผมถูกทาบทามให้มาทำโปรเจ็กต์นี้ ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าต้องมากำกับร่วมกับพี่ตี๋ เพราะพี่ตี๋เองก็เป็นพนักงานของบริษัทอยู่แล้ว ซึ่งตอนที่ถูกชักชวนมาเพราะว่าเขาอยากได้สไตล์งานภาพของผม ซึ่งถ้าจะเอาแบบนั้นก็ต้องให้เราควบคุมไดเร็กชั่นของหนัง ไปพร้อมๆ กับการกำกับภาพ เราก็เลยขอว่า ขอทำงานด้านกำกับภาพด้วย แต่ว่าเราอยากได้ผู้กำกับร่วมอีกคน ซึ่งตอนแรกตำแหน่งในโปรเจ็กต์นี้ของพี่ตี๋จะเป็น script supervisor ที่มาคอยดูทิศทางของหนังให้เป็นไปตามบท ซึ่งพี่ตี๋เองก็เป็นรุ่นพี่ที่มหาวิทยาลัยเราอยู่แล้ว และก็เคยจับงานกำกับมาก่อน สุดท้ายเราก็ได้พี่ตี๋มากำกับร่วมด้วย
– ภูวนิตย์เองตอนเขียนบทเราอยากจะกำกับมันด้วยไหม
ภูวนิตย์ : ก็ไม่ได้ตั้งใจขนาดนั้น คือเด็กเรียนหนังทุกคนก็อยากทำงานด้านกำกับละ เพียงแต่เรารู้สึกว่างานเขียนบทมันคืออาชีพของเรา คือ ณ ตอนที่เราทำบทเราแค่ได้เห็นบทมันถูกทำให้เป็นหนังจริงๆ เราก็ดีใจแล้ว จนโปรเจ็กต์ โอเวอร์ไซส์ฯ มันพัฒนาไปจนถึงการค้นหาผู้กำกับ ซึ่งก็มีโอ๊ตสแตนบายรอไว้อยู่แล้ว ซึ่งตอนแรกเราก็ถูกวางไว้แค่ตำแน่งที่จะเข้าไปดูทิศทางของบทนั่นละ จนอีกวันหนึ่งก็เปลี่ยนมาเป็นก็กำกับร่วมไปเลย
– ถ้าอ้างอิงสไตล์ด้านภาพของชานนท์จาก ‘โดดก็โดดวะ’ กับเรื่อง ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ มันแตกต่างกันมากไหม
ชานนท์ : เราว่ากับ ‘โดดก็โดดวะ’ มันจะเป็นแบบตลกเล่นใหญ่ ซึ่งก็เป็นสไตล์ที่ทำกับแค่เรื่องนั้นมากกว่า แต่กับ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ มันก็จะเป็นอีกสไตล์หนึ่งที่ไปกับเรื่องราวในหนังมากกว่า
– เราคาดหวังอะไรกับโปรเจ็กต์ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ บ้าง
ชานนท์ : ผมคาดหวังกระแสนะ คือทุกอย่างในหนังเรื่องนี้มันยังสด ตั้งแต่ค่ายที่ทำ ตัวเราเองไปจนถึงการมีนักแสดงไซส์นี้สี่คนมาเป็นตัวเองร่วมกัน คือในยุคหนึ่งเรามี ‘สตรีเหล็ก’ เป็นหนังที่มีไอเดียสดใหม่มาทำให้วงการคึกคัก เราก็หวังว่า โอเวอร์ไซส์ฯ เองก็จะสามารถสร้างกระแสแบบนั้นให้เกิดขึ้นมาอีกครั้งได้
ภูวนิตย์ : ส่วนตัวเราเองก็ไม่กล้าคาดหวังอะไรมากนัก เพราะมาถึงตรงนี้อะไรที่เราเคยหวังไว้ก็สำเร็จไปมากแล้ว ทั้งการได้พัฒนาบทจนกลายเป็นโปรเจ็กต์หนัง หรือแม้แต่การได้มาเป็นผู้กำกับเองก็ตาม ซี่งเราก็ไม่เคยคิดหรอกโอกาสเหล่านี้มันจะมาเมื่อไหร่ คือถ้าที่คาดหวังจริงๆ คงเป็นเรื่องอยากให้ผู้ชมเข้ามาชมหนังมากกว่า (ชานนท์ : อยากให้มาดูกันเพราะว่ามันมีมากกว่าที่เห็นในตัวอย่างหนังนะ) ใช่ คือเราอยากให้ทุกคนมาสนุก มาเข้าใจเรื่องราวที่เราสร้างขึ้นมา
ติดตามข่าวสารและเทรนด์หนังจากทั่วทุกมุมโลกได้ที่ facebook : BIOSCOPE Magazine
The post (interview) ชานนท์ ยิ่งยง และ ภูวนิตย์ ผลดี กับความหวังที่มีต่อ ‘โอเวอร์ไซส์..ทลายพุง’ appeared first on MThai Movie.